Tuesday, 23 December 2014

การทำใบขับขี่ประเทศออสเตรเลีย รัฐควีนแลนด์

 
(ภาพนี้ใช้ประกอบการเขียนนะคะ ไม่ใช่ภาพจริงในใบขับขี่)


บทความนี้เป็นประสบการณ์จากผู้เขียนนะคะ ไม่สามารถใช้อ้างอิงใดๆทั้งสิ้น
                     หลังจากเดินทางเข้ามาอยู่ประเทศออสเตรเลีย ด้วยวีซ่า Permanent subclass 189 ก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำใบขับขี่ของรัฐควีนแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย วีซ่าของเราถือเป็นวีซ่าพีอาร์ มีข้อกำหนดไว้ว่า ผู้ที่ถือวีซ่าพีอาร์ และมีใบขับขี่จากต่างประเทศมากกว่า3ปีขึ้นไป มีเวลาทำใบขับขี่ของออสเตรเลีย ภายใน3เดือน หลังจากที่เข้ามาอยู่ในออสเตรเลีย คือทำการสอบข้อเขียน และสอบขับรถ หากสอบผ่านทั้งสองอย่าง ก็จะได้ ใบขับขี่ของออสเตรเลีย(ไม่ทราบนะคะว่าหลังจาก3เดือนแล้ว เราต้องสอบแบบไหนถ้าเพิ่มเติม) หลังจากศึกษาขั้นตอนต่างๆ ก็ไปติดต่อสำนักงานขนส่ง ว่าเราต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง แต่ก่อนจะไปสอบถามขอแนะนำให้ศึกษากฎจราจร ของรัฐนั้นๆ ของประเทศออสเตรเลียไปก่อน และลองทำข้อสอบ ให้แน่ใจว่าเราจะสามารถผ่านการสอบข้อเขียนไปได้ แล้วค่อยไปที่สำนักงาน เพราะหลังจากยื่นเอกสารขอมีใบอนุญาตขับขี่แล้ว พนักงานจะถามว่าต้องการสอบข้อเขียนหรือไม่ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราก็สอบทำการสอบข้อเขียนเลย
เว็ปไซด์ เครื่องหมายจราจร ที่ควรศึกษา http://www.qld.gov.au/transport/safety/signs/types/regulatory/
หลังจากศึกษาแล้ว ก็ลองมาทำข้อสอบดู  https://www.service.transport.qld.gov.au/rrtexternal/SelectExam.jsp   เลือก General test สำหรับรถยนต์  สำหรับเราเราหัดทำข้อสอบ วันละหลายๆรอบ จากข้อที่ผิด เราก็สามารถจำได้ มี30 ข้อ เราจะทำได้28-29คะแนน ถือว่าเป็นอันใช้ได้ (28-29คะแนน หลายๆครั้ง อย่าได้ประมาท หัดทำบ่อยๆ เพราะ บางครั้งจะมีคำถามที่เราไม่เคยรู้ เราจะได้ทำได้ทั้งหมด) หลังจากศึกษาทำข้อสอบที่บ้าน และมั่นใจ ว่าเราจะทำข้อสอบได้แล้ว ก็เดินทางไปสำนักงานขนส่งใกล้บ้าน และจัดเตรียมเอกสาร
                     สิ่งที่เราต้องใช้สำหรับการขอมีใบขับขี่ดังนี้
                     1.ใบขับขี่ของไทย และแปลเป็นภาษาอังกฤษ รับรองโดย Thai consulate หรือ NAATI(เรื่องแปลเอกสาร บางสำนักงานเท่านั้นนะคะ)
                     2.พาสปอตร์
                     3.เอกสารแสดงที่อยู่ในรัฐครีนแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
                     4.บัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต ATM ของออสเตรเลีย
                     5.บัตรเมดิแคร์
                หลังจากกรอกแบบฟอร์มยื่นเอกสารแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะให้เราจ่ายเงิน 21 ดอลล่า สำหรับการสอบข้อเขียน
                 เราก็จะได้ข้อสอบและทำการสอบ หลังจากสอบเสร็จก็ยื่นกระดาษ ข้อสอบให้พนักงานตรวจข้อสอบ 30 ข้อ สามารถทำผิดได้ 3ข้อ 27 คะแนนถือว่าผ่าน (เราทำได้28คะแนน)
                 ขั้นตอนต่อไปคือการจองวันสอบขับรถ สามารถจองทางโทรศัพท์ หรือจองผ่านเว็ปไซด์ เลือกวันสอบ(ค่าธรรมเนียม50ดอลล่า) หรือบางครั้งอาจต้องเลือกสถานที่สอบด้วย เมื่อได้วันสอบแล้ว ก็เตรียมตัวให้พร้อม เช่นเรียนการขับรถเพิ่มเติม (เราเลือกวันสอบกระชั้นชิดเกินไป ทำให้มีเวลาเรียนขับรถแค่ 1 ชั่วโมง ) การเรียนขับรถ ทำให้เรารู้ข้อผิดพลาดหลายๆจุด ของตัวเองโดยที่ตัวเราเองไม่รู้มาก่อน
        เมื่อถึงวันสอบ เวลาสอบที่จองคือ 15.45 น.สถานที่สอบคือ สำนักงานขนส่งเมือง wynnum รัฐครีนแลนด์ เราขับรถจากบ้านใช้เวลาประมาณ30นาที เมื่อถึงสำนักงานก็ยื่นเอกสาร และนั่งรอเจ้าหน้าที่เรียก
เมื่อเจ้าหน้าที่พร้อม และตัวเราพร้อม
         และแล้วเวลาอันตื่นเต้นก็มาถึง สอบขับรถมี ขั้นตอนดังนี้
1.เจ้าหน้าที่จะให้เราอ่านข้อปฎิบัติ เมื่อเราอ่านเข้าใจ ไม่มีคำถามข้อสงสัยใดๆ ถือว่าเราพร้อม
2.เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบสัญญาณไฟ โดยบอกให้เปิด ไฟเลี้ยว ซ้าย-ขวา เหยียบเบรก ไฟฉุกเฉิน ไฟสูง ไฟต่ำ และสัญญาณแตร ถ้ารถเราเกิด ไฟใดไฟหนึ่งไม่ติด แตรไม่ดัง เราจะไม่ได้สอบในวันนั้น ถือว่าเราสอบตก เพราะขาดการเตรียมความพร้อม รถยนต์ต้องพร้อมใช้งานทุกๆด้าน
3.เมื่อตรวจสอบสัญญาณไฟ แตร เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็จะเข้ามานั่งในรถ สิ่งที่เราต้องทำคือ เปิดแอร์รถ ปรับปุ่มใล่ฝ้ากระจก เช็คกระจก มองข้าง มองหลัง รัดเข็มขัดนิรภัย และรอคำสั่งจากเจ้าหน้าที่ว่าจะให้เราขับไปทางไหน (การสอบขับรถที่ออสเตรเลียจะสอบบนถนนจริง )
จุดสำคัญของการสอบขับรถ คือ ต้องตั้งใจฟังคำสั่งเจ้าหน้าที่ ถ้าไม่เข้าใจให้ถาม หมั่นมองกระจกข้างเวลาจะแซงรถ หรือเลี้ยวรถ มองป้ายสัญญาณและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัด





เวลาสอบขับรถจะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีโดยประมาณ เราจะขับตามคำสั่งเจ้าหน้าที่เท่านั้น สิ่งที่เจ้าหน้าที่จะสั่งให้ขับได้แก่
1. Lane Driving คือการเปลี่ยนเลนส์(Lane Change) ขับรถช่องทางเดียว(One Way) ขับตามเครื่องหมาย(Marked) ขับโดยไม่มีเครื่องหมายบอกทาง (unmarked) ขับบนถนนกว้าง (wider) ขับบนถนนแคบ (Narrower)
2.Crossings คือ เจ้าหน้าที่จะดูว่าเราขับตามสัญญาณป้ายจราจรหรือไม่ เช่น
Pedestrian crossing sign
ถ้าเห็นป้าย Pedestrian crossing sign คือ ข้างหน้าจะมีทางม้าลายสำหรับคนข้าม เราต้องหยุดให้คนข้าม และสามารถขับรถผ่านไปได้เมื่อไม่มีคนข้ามถนนแล้ว

Roundabouts signs
3.Intersections คือ ทางแยก สี่แยก หรือแยกไฟแดง วงเวียน(Roundabouts)
เมื่อเราขับมาถึงวงเวียน เราต้องรอให้รถด้านขวามือที่จะขับผ่านไปก่อน เมื่อระยะปลอดภัยให้ขับรถผ่านวงเวียนได้ ข้อนี้เราโดนหัก1แต้ม เพราะเรารอนานเกินไป หากมีระยะเวลาที่ขับไปได้ควรขับไป เพราะถ้าเราจอดนานเกินไป จะเป็นการบล็อค ช่องทางเดินรถ หรือ กีดขวาง ทางแยก เราแค่ต้องการความชัวร์ คุณเจ้าหน้าที่หัก1แต้ม ถือว่าการตัดสินใจไม่เด็ดขาด (Judgment)
       เมื่อขับผ่านแยกต้องหันมอง หรือเรียกว่า shoulder checks คือ ระดับคางต้องอยู่ระดับหัวไหลเลยที่เดียว จุดนี้เรารู้อยู่ก่อนแล้วและพยายามทำ shoulder checks แต่เราก็โดนหักไป2แต้ม
       อีกจุดผิดพลาดของเราคือ ชอบขับรถโดยจับพวงมาลัยรถด้านใน ข้อนี้ครูสอบขับรถได้ตักเตือนเราตอนเรียนแล้ว เราพยายามขับอย่างถูกต้อง แต่ไม่รู้ไปเผลอทำตอนไหน โดนหัดอีก 1แต้ม 
Hands inside wheel จับพวงมาลัยด้านใน แบบนี้คะ
ไม่ดีนะคะ อย่าลอกเรียนแบบ
 ข้อผิดพลาดข้อต่อไปคือ ขับช้าเกินกว่ากำหนดคะ โดนไป3แต้มเลย เช่นถนนเส้นนี้จำกัดความเร็วที่ 60/ต่อชั่วโมง เราขับ30/ชม อันนี้ หรือหากจำกัดความเร็วที่ 50/ชม เราต้องขับห้ามต่ำกว่า 10 หมายถึงเราจะสามารถขับได้ที่ความเร็ว 40/ชม แต่เนื่องจากตอนที่เราสอบขับรถ มีฝนตกหนักมาก จนแทบมองไม่เห็นทาง เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่เราขับช้าซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ คงจะเข้าใจ และเจ้าหน้าที่จะบอกให้ทำการถอยหลังตรง(Reversing Exercise) กลับรถบนถนน(U-turn)
 และแล้วก็สอบขับรถก็ผ่านไปด้วยดี เราขับมาจอดที่สำนักงานขนส่งที่เดิม เจ้าหน้าที่ก็บอกข้อผิดพลาดของเรา (เจ้าหน้าที่จะไม่บอกระหว่างขับรถ จะมีเตือนถ้าเราขับไม่ถูก) เราโดนหักคะแนนในช่อง NCDE 7แต้ม(ครูฝึกเคยบอกว่าถ้าโดนหัก 9 แต้ม เราจะไม่ผ่าน) หรือถ้าโดนหักในช่อง CDE เพียงช่องเดียวเราก็ไม่ผ่านแล้ว กรณีของเราโดนช่องNCDE 7แต้ม ถือว่า  ผ่าน ความรู้สึกกตอนนั้นสินะ ที่คนเขาเรียกันว่ายกภูเขาออกจากอก หลังจากสอบขับรถผ่านแล้วก็เดินเข้าไปติดต่อที่เคาร์เตอร์ ยื่นใบทดสอดให้เจ้าหน้าที่ดู เจ้าหน้าที่จะให้เราถ่ายรูปติดใบขับขี่ สภาพตอนนั้น วิ่งฝ่าฝนเข้าสำนักงาน หัวฟู มาสคาร่าเริ่มเป็นแพนด้า ไม่อยากจะคิดสภาพวันที่ได้รับใบขับขี่เลย 555 หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ก็มาเลือกว่าเราจะ อายุใบขับขี่กี่ปี มีตั้งแต่1-5ปี เราเลือกที่ 5ปี ประมาณ165 ดอลล่า และเราจะได้รับใบขับขี่ทางไปรษณีย์ที่บ้านภายใน14วัน 
ส่วนวันนี้เราจะได้รับกระดาษที่เขียนว่าเรามีใบขับขี่แล้ว และต้องถือใบขับขี่นั้นจนกว่าจะได้ใบขับขี่ตัวจริง  *เทคนิค เล็กน้อย สำหรับเราในการสอบขับรถคือ จะพยายามขับรถ เพื่อให้คุนเคย กับสภาพท้องถนน ป้ายสัญญาณ ก่อนวันสอบ ขับเข้าเมือง ชุมชน ดูสัญญาณไฟจราจร ดูรถ เพราะระบบไฟจราจรการขับรถที่ออสเตรเลีย ไม่เหมือนกับประเทศไทย ต้องหัดทำข้อสอบ ถ้าข้อไหนไม่เข้าใจ ก็แปลในกูเกิลแปลภาษษ เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน สำรวจรถยนต์ ก่อนสอบ เตรียมเอกสาร ให้เรียบร้อย พกความมั่นใจไปเยอะๆ คิดว่าฉันต้องทำได้ ๆ  หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยนช์บ้างต่อผู้ที่หาข้อมูลจะทำใบขับที่ที่ออสเตรเลีย ไม่มากก็น้อย ขอให้ทุกคนโชคดีคะ 



                   


                     

Monday, 8 December 2014

เที่ยวชมบราซิล ตอนที่ 2

                     
                          เที่ยวชมบราซิลตอนที่2   Praia do sono ( Paraty Rio de janeiro)
           เวลาผ่านไปเร็วมาก นี่ก็เกือบ 2 เดือนแล้ว ที่ย้ายจากบราซิลมาอยู่เมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย เลยอยากแนะนำสถานที่เที่ยวประทับใจย้อนเวลาหาอดีตที่ประเทศบราซิลกันซะหน่อย

            Praia do sono ( Paraty Rio de janeiro)
               (ปราญ่า โด โซโน)  แปลเป็นภาษาไทย คือ ชายหาดที่หลับไหล เงียบสงบ อะไรประมาณนั้น หาด โซโน อยู่ในเมืองปาราตี รัฐ ริโอ ดิเจเนโร การเดินทางไปเกาะนี้ เดินทางไปทางเรือเท่านั้น เพราะ ไม่มีทางรถยนต์เข้าถึง เหมือนเกาะๆหนึ่ง นั้งเรือไปประมาณ10นาที หาดโซโน เป็นหาดที่เหมาะสำหรับคนที่รักความสงบ เรียบง่าย ที่หาดนี้ไม่มีโรงแรมหรูๆ ไม่มีห้องแอร์ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะมากจะมาพักกลางเต๊นท์ที่นี่ สำหรับโรงแรมที่พัก ค้อนข้างจะเรียบง่ายมาก มีแค่เตียงนอน และห้องน้ำเท่านั้นเอง ไม่มีตู้เย็น ทีวี ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย หาดนี้ มีการจำกัดการใช้พลังงานไฟฟ้า
หาดโซโน ยามเย็นพระอาทิตย์กำลังจะตก
อาบแดด อาบลม ได้ผิวสีแทน(มาก) 



หาดโซโน ยามเย็น
หาดโซโน ปาราตี ริโอ ดิ เจเนโร


หาดโซโน ปาราตี ริโอ ดิ เจเนโร

จุดชมวิว หาดโซโน


จุดชมวิว หาดโซโน
เราพักที่ห้องพักนี้ ขอบอกว่าหรูที่สุดสำหรับที่นี่แร๊ววว
ระหว่างนั้งรออาหารเช้า 
ได้เวลาเดินทางกลับแล้ว ไม่อยากกลับเลย สีน้ำทะเลสวยมาก

หาดโซโน เงีบยสงบ สมชื่อ


เดินรับแดด รับลม ยามสาย




บ้านพักหลังเล็ก ริมหาด
ที่ไหนๆ ที่มีเธอ มันก็มีความสุขเสมอ 


Saturday, 6 December 2014

Getting a driver's license


Hello,

Today I will talk about getting a drivers license - or almost.



Be careful if you see this sign.

Do I need a drivers license?


If you are going to stay in Australia for more than three months and you intend to drive, then the answer is yes. However, if you are going to stay in Australia for less than three months, then you can do it caring a Permissão Internacional para Dirigir (PID) or even a translation of your drivers license.




The way it works in Queensland


I am going to describe the process of getting a driver's license in Queensland, the state were I live. But most of what I am going to describe is applicable to the other Australian states as well. In Queensland, the office responsible for this kind of issue is the Department of Transportation and Main Roads.

If you already has a driver's license from another country...


I believe that most of people moving to Australia (including myself) already have a driver's license valid in his home country. In this case, the best option is showing them that you already have a license. This will bring you two main benefits: (1) you will not need to attend to driving lessons before doing the tests; and (2) once you pass the tests, you will get a open license instead of a provisional license or even a learner license. If you follow the links, you will see that those licenses impose many restrictions on the driver.

Documents you will need


So one of the first things you will need to do is getting a translation of your driver's license. A PID is not accepted as a driver's license for this purpose. You really need a translation issued by an accredited translator. I found that the costs of a trusted translation in Australia is about the same as it is in Brazil. You can find an accredited translator on NAAT (Australia) or ATPIESP (Brazil).

The Department of Transportation and Main Roads will also ask you for other papers:


  • A filled Driver License Application Form;
  • Original passport;
  • Other two documents such as debit/credit card or Medicare card;
  • Evidence of address, to show you live in Queensland. It may be a bill or a Tenancy Agreement.



The written test



I hope you never see this ahead.
It is not necessary to book the test. Once you take all the requirement documents, you can do the test in the same day! Did I tell you I failed in the written test? It is true! The first reason for my failure is that I did not expected I would do the test in the same day I applied for the license, so I did not study for it. The second reason is that I did not expect the test to be different from what I already knew. So I am not sure I would study even if I had the chance to do it.


WTF is this?
What could be different from what I am used to? Many things. Besides the obvious fact that you will drive on the left side of the road, many rules are different. For example, the minimal distance you need to keep from the bus stop whilst parking the car, speed limits, etc. Furthermore, you can not miss more than three questions out of 30. So what I can advice you is: study! They provide a practice road rules test webpage.





Conclusion


As I still don't have a driver's license, I still don't have any conclusion for this post. Were I to have one, it would be "study for the written test", but this is quite obvious now.

Cheers!

 

The long journey to Australia


Hello,

I would like to describe our trip from Brazil to Australia: what we planned, what did not work properly, and what I would make in a different way.

Starting with a "not so good" choice


Here is something that has not went well: the flight. I say that because traveling from Brazil to Australia is already a long and tiredness trip. So you'd better do everything you can to make it as short and as comfortable as possible. I not only forgot this when I planned our trip, but I made the journey even worse then I needed to change our plans.

We did not know where in Australia we were going to live at first, but we booked our tickets do Sydney anyway because we wanted to guarantee a good price. Some things changed and we decided to live in Brisbane. The problem is: cancelling or even changing a flight ticket in Brazil is absurdly expensive, specially if you buy your tickets on decolar.com. It actually turns out that buying another ticket from Sydney to Brisbane is cheaper than cancelling the tickets we already have. As a result, we traveled from São Paulo to Sydney (with hoops in Johannesburg and Perth), and then we got another flight to Brisbane. This added some extra hours to our already long and tiredness journey.

First of all, we started by buying tickets from São Paulo to Sydney with two hoops. I would not recommend anyone to do that. Right now I am taking a look at Momondo and I can find flights from São Paulo to Sydney with only one hoop for almost the same price as the one I bought.

Our planned trip


We planned our trip as follows:


  • Flight from São Paulo to Johannesburg
    Departing on Saturday (25 October) at 00.30 (local time)
    Duration: 8 hours 30 minutes
    Arriving on Saturday (25 October) at 13.00 (local time)
  • Wait in Johannesburg airport for 8 hours and 30 minutes
  • Flight from Johannesburg to Perth
    Departing on Sarurday (25 October) at 21.30 (local time)
    Duration: 9 hours 30 minutes
    Arriving on Sunday (26 October) at 13.00 (local time)
  • Get our luggage, go through Customs and Migration services, and check-in for the next flight within 2 hours. Off course this is the part of the trip that did not work!
  • Flight from Perth to Sydney
    Departing on Sunday (26 October) at 15.00 (local time)
    Duration: 4 hours 30 minutes
    Arriving on Sunday (26 October) at 19.30 (local time)
  • Stay in a hotel in Sydney
    Check-in: Sunday (26 October) night
    Check-out: Monday (27 October) noon
  • Flight from Sydney to Brisbane
    Departing on Monday (27 October) at 14.00 (local time)
    Duration: 1 hour 30 minutes
    Arriving on Monday (27 October) at 14.30 (local time)


If you do the calculations, you will conclude that the entire trip lasts for almost 2 days!

Our actual trip


The trip would last for almost 2 days if everything went as planned. What if our second flight delayed a few hours and we did not arrive in Perth on time to get our third flight? Well, that is exactly when happened. And even worse: as Brisbane Airport closes at night, we needed to wait until the next dawn to depart from Perth so we arrived in the next morning.

As a result, instead of relaxing for some hours in a hotel in Sydney, we spend many hours at the airport in Perth and arrived in Sydney just on time to take a shower at the hotel and rush to the next flight.


My daughter having a meal at Johannesburg International Airport - long trips are specially hard for children.

Conclusion

The first conclusion is obvious: if you can make your trip quicker, then do it. It may be little more costly but, if you take in account extra expenses with hotel, food and headaches, it may worth doing.

The second conclusion is: never buy tickets on decolar.com! Half of my troubles started when I did that. Nowadays I search for flight tickets on Momondo and it seems to be OK so far.

I have talked to some friends about long trips and some of them have a quite different idea about it. Some say that the trip will be long anyway, so we would better enjoy it. One of y friends will travel from Canada to Australia and he intend to do long stops along the way (two or more days). I have never tried to do that but, if anyone else agree with him and decide to try it, please tell me how it was.

Cheers!

Monday, 24 November 2014

Lock suitcases: they are completely useless


Hello,

It has been a long time since I wrote my last post. That is because I have been really busy taking care of all aspects of out trip to Australia. However, I took notes of everything I considered to be interesting and I hope to post them during the next days.

For example, I received some advices regarding locks for suitcases. I wrote in my TODO list we ought to buy locks for our suitcases. But after talking to some friends, I am convinced that they are useless. Here is a demonstration of how to open a locked suitcase:


As a result, I changed my mind: now I would recommend you to keep everything that is worth stealing within your hand luggage and dispatch the rest. It doesn't matter if your dispatched luggage is locked or not. It can be opened anyway.

Cheers!

พาเที่ยวชมบราซิล ตอนที่1

              



     บราซิลเป็นประเทศที่สวยงามมาก ไม่ว่าจะเป็น ทะเล ภูเข น้ำตก สวยติดอันดับโลกเลยทีเดียว วันนี้จะมาแนะนำสถานที่ ที่เราเคยไปมาและประทับใจ   ขอเริ่มจากที่ใกล้บ้านก่อน เมือง São José dos Campos. 


             Parque da Cidade Roberto Burle Marx  สถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจของคนในเมืองนี้ เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ติดกับใจกลางเมือง แวดล้อมไปด้วยต้นไม้นานา ชนิด อากาศสดชื่น มีสนามหญ้าที่กว้างขวาง มีบึงน้ำขนาดใหญ่ มีสัตว์หลายชนิดจากธรรมชาติ นกหลายสายพันธ์ กระรอก คา-บิบาร่า สวนผีเสื้อ ไม่ใช่เป็นแค่สวนสาธารณะเท่านั้น ยังเป็นที่สำหรับออกกำลังกาย มีสนามฟุตบอล สนามกีฬา ลานกีฬา ทางสำหรับจักรยาน  แต่บริเวณที่เจ้าหนูยักษ์ คาบิบาร่าอยู่ 


บริเวณสนามหญ้า ในสวน  Parque da Cidade Roberto Burle Marx
   ต้นปาล์ม เรียงแถงสวยงาม บริเวณด้านหน้าของสวน

ภาพถ่ายจากมุงสูงของสวน  Parque da Cidade Roberto Burle Marx
บึงน้ำ เจ้าคาบิบาร่า ชอบว่ายน้ำเล่นในบึงนี้

ฝูงคาบิบาร่า นอนอาบแดดอุ่นๆ ตอนสายๆ


 ลูกสาวตื่นเต้น เห็นคาบิบาร่า ใกล้ๆ

                         
ใครมาแล้วก็ต้องถ่ายรูปกับจระเข้ตัวนี้ เป็นที่ระลึก 

                    Rio de Janeiro ถ้ากล่าวถึงประเทศบราซิล เมือง ริโอ คงจะเป็นเมืองแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึง เป็นเมืองที่สวยงามมาก ก่อนมาบราซิลเคยเห็นในรูป คิดว่าสวยมาก แต่พอได้มาเห็นกับตา มันสวยงามกว่าในรูปหลายเท่าเลย เริ่มต้นด้วย รูปปั้นพระเยซูคริสต์ หรือ รูปปั้นพระคริสต์ผู้ไถ่บาป (Christ the Redeemer) หรือ Cristo Redentor ซึ่งตั้งอยู่เหนือยอดเขากอร์โกวาโด ในเขตอุทยานแห่งชาติทิจูคา รูปปั้นพระเยซูคริสต์มีความสูงราว 38 เมตร หากสนใจจะขึ้นไปชมรูปปั้นพระเยซูคริสต์ ใช้บริการรถไฟฟ้า ราคาบัตรรถไฟ ไป-กลับ สำหรับผู้ใหญ่ R$50 หรือประมาณ 700บาท เด็ก R$25 หรือประมาณ 350บาท ก็จะได้ขึ้นไปชมทิวทัศน์งดงามของเมืองริโอ เดอ จาเนโร จากมุมสูง ที่จะมองเห็นทั้งภูเขาและชายหาดที่อยู่ล้อมรอบเมือง ซึ่งนอกจากที่นี่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งหากว่ามาถึงเมืองริโอ เดอ จาเนโร แล้ว รูปปั้นพระเยซูคริสต์ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง และเป็นสถานที่ที่ใครมาบราซิล ต้องอยากไปเยี่ยมชมสักครั้ง 


Cristo Redentor
Cristo Redentor
ร้านกาแฟ @Cristo Redentor ร้อนมากพักกินไอติมกันก่อน

Cristo Redentor
   

           Sugarloaf หรือ Pão de Açúcar ภูเขารูปร่างคล้ายขนมปังสีน้ำตาล(เขามองกันยังไง เราว่ามันไม่เหมือนอ่ะ) ขึ้นกระเช้า ไปสองต่อ มีจุดชมวิวที่สวย ที่จุดต่อกระเช้า วิวด้านบนสวยมากๆ เราโชคดีที่ได้ไปช่วงเย็น และได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินที่นั่น ได้เห็นวิวทะเลสวยๆ ภูเขาสูงรูปร่างแปลกตา และได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อตอนท้องฟ้ามืด ก็ได้เห็นวิวของเมือง ริโอ ยามค่ำคืน มันสวยงามอะไรเช่นนี้ 

Pão de Açúcar 

Pão de Açúcar 

Pão de Açúcar 
Pão de Açúcar 


Pão de Açúcar 

Pão de Açúcar 



Pão de Açúcar แถมภาพสวีทๆสักภาพ 

Pão de Açúcar 

             Copacabana Beach ชายหาดโคปาคาบานา ชายหาดชื่อดังของบราซิล ก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด เป็นชายหาดที่สวยงาม ในย่านชายหาดนี้ถือเป็นย่านหรูของเมือง มีโรงแรมห้าดาว มีห้างสรรพสินค้า  ชายหาดที่ยาวกว่า 4 กิโลเมตร มีทางเดินเลียบชายหาดสไตล์โปรตุเกสที่ปูกระเบื้องเป็นรูปคล้ายลอนคลื่นใน ทะเล อีกทั้งทิวทัศน์รอบข้างยังมีเสน่ห์ด้วยทิวเขาสูงสลับซับซ้อน น้ำทะเลใสๆ แต่คลื่นค่อนข้างแรง เราไม่กล้าลงน้ำ ได้แต่ยืนมอง หนุ่มๆ สาวๆ เล่นน้ำกัน สาวๆสวยมากหุ่นใส่บิกินี่ตัวจิ๋ว หนุ่มก็หล่อคมเข้ม กล้ามโต บริเวณชายหาด จะมีสนามวอลเลย์บอล สนามฟุตบอล เรียบชายหาดจะเป็นทางเท้า ผู้คนมามายจะมาเดินออกกำลังกาย วิ่ง และเล่นสเก็ตบอร์ด ร้านค้าเล็กๆริมชายหาดมากมาย 






Favela Rio de Janeiro คือสลัมหรือชุมชนแออัด จริงๆแล้วที่บราซิลไม่ได้ชุมชนแออัดแค่ในเมืองริโอ แต่สามารถเห็นได้ทั่วไป ทุกเมือง แต่ที่ริโอจะมีชุมชนแออัดขนาดใหญ่ เป็นสถานที่อันตรายมาก เราไม่เคยได้เข้าไปก็เอาภาพชุมชนแออัดจากเมืองริโอ และเมืองอื่นๆมาฝากแล้วกัน